ฝรั่งมีความเห็นอย่างไรในการใช้ AI เขียนนิยาย

ฝรั่งมีความเห็นอย่างไรในการใช้ AI เขียนนิยาย

ยุคนี้สมัยนี้ หากใครไม่เคยได้ยินเรื่อง AI นี่ก็คงโดนโห่รอบวง “ไปอยู่ไหนมา!!”

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเรานักเขียนก็คือการที่มันมีเอไอที่ใช้ในการเขียนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ผู้บุกเบิกและค่ายอื่น ๆ ที่พยายามจะตามให้ทัน แล้วมีไหมที่เขาใช้เอไอเขียนนิยาย? มีสิ ผมก็ยังเขียนหนังสือแนะนำการเขียนด้วยเอไอเลย (555)

ในรูปแบบการเขียนของเราซึ่งใช้ภาษาไทย เราเอาสิ่งที่เอไอให้มามาใช้ทันทีไม่ได้หรอก สุดท้ายก็ต้องใช้ความสามารถของตนเองอยู่ดี ทว่ามันไม่เหมือนกับสำหรับฝรั่ง งานที่เขียนออกมามันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งฝรั่งสามารถรวมเล่มขายได้เลยโดยไม่ต้องเหลียวหลัง และนั่นก็เป็นประเด็นที่นักเขียนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย

ประเด็นปัญหา

ในบทความนี้ผมจะนำเสนอแนวคิดให้ดูว่า ฝรั่งเขาคิดกับเรื่องนี้อย่างไร

อันนี้เป็นฝรั่งที่ทนไม่ไหว ออกมาบ่นใน reddit โปรดสังเกตว่าผู้ใช้รายนี้โดนลบไปแล้ว (555) เนื้อหามีอยู่ว่า

อันนี้แค่ประกาศเฉยๆ นะ ถ้าแกใช้เอไอ แกไม่ใช่นักเขียน งานเขียนของแกไม่ได้เกิดขึ้นจากมนุษย์ การเขียนด้วยเอไอนั้นมันไร้วิญญาณ เป็นขโมย และพวกขี้เกียจ

อย่ามาทำตัวเชี่ยๆ กับคนที่เขาใช้เวลาในการอ่านและศึกษาการเขียน เพราะแกมันโคตรขี้เกียจที่จะทำด้วยตนเอง

เอไอไม่ได้ทำให้แกเป็นนักเขียนหรอก เอไอไม่ได้ทำให้แกเป็นศิลปิน แกมันคนหลอกลวง! (ตรงนี้เขาน่าจะหมายถึงทำให้ภาพตัวเองดูเก่ง แต่ไม่ได้เกิดจากฝีมือตนเอง)

หยุดบอกกูได้แล้วว่าการใช้เอไอเป็นสิ่งที่ดี แกน่ะมันตัวปัญหาที่แท้จริง … ใช้ไปเหอะเอไอน่ะ มันไม่ทำให้แกเป็นนักเขียนที่ดีขึ้นหรอก

โอเค เขาได้ระบายละ (555) คราวนี้เรามาสรุปกันด้วยเหตุผลกันว่าเขาคิดอะไร

  1. เขาเสียเวลาศึกษาและฝึกฝนมานาน แต่ไอพวกนี้มันโกง มันใช้เอไอ มันเลยไม่ต้องทรมานแบบตรู
  2. เอไอไม่ได้ทำให้คุณเป็นนักเขียน และไม่สามารถทำให้คุณเขียนเก่งขึ้นมาได้

ประเด็นของความไม่เท่าเทียม

ในประเด็นแรกที่แสดงออกมานั้นคือความไม่เท่าเทียม คนหนึ่งใช้เวลามากมายกว่าจะได้เป็นนักเขียน ส่วนอีกคนหนึ่งกลับไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ใช้เอไอทำให้ทุกอย่าง อารมณ์บางอย่างมันระเบิดออกมาจากเจ้าของกระทู้ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่? ผมเลยถามเอไอว่าในทางจิตวิทยาแล้วมันเกิดอะไรกันขึ้น

สิ่งที่แสดงออกมานั้นอธิบายได้ด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยา 2 ข้อครับ

ข้อแรกเป็น “ทฤษฎีความเสมอภาค” ซึ่งนำเสนอโดย John Stacey Adams ในปี 1963 ว่า

บุคคลต่างๆ ประเมินความเป็นธรรมของผลลัพธ์การทำงานของตนโดยสัมพันธ์กับปัจจัยการผลิตที่พวกเขาลงทุนไป เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ หากมีคนรับรู้ถึงความไม่เท่าเทียม เช่น ความรู้สึกที่พวกเขาต้องทำงานหนักขึ้นหรือนานกว่านั้นเพื่อบรรลุสิ่งที่ผู้อื่นได้รับจากสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นทางลัด (เช่น การใช้ AI ในการเขียนนวนิยาย) พวกเขาอาจประสบกับความรู้สึกไม่ยุติธรรม ความไม่พอใจ หรือความคับข้องใจ

อีกข้อหนึ่งหนึ่งคือ “กรอบความคิดแบบตายตัว” กับ “กรอบความคิดแบบเติบโต” ตามที่ Carol Dweck นำเสนอ ว่า

บุคคลที่มีกรอบความคิดแบบตายตัวอาจเชื่อว่าความสามารถนั้นคงที่ และอาจรู้สึกว่าถูกคุกคามหรือไม่ยุติธรรมเมื่อผู้อื่นใช้เครื่องมือหรือทางลัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตอาจมองว่าการใช้เครื่องมือใหม่ๆ เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะและประสิทธิผลของตน

คำถามมีอยู่ว่า…แล้วมันสามารถทำให้เราพัฒนาทักษะในการเขียนได้หรือเปล่า?

AI มันช่วยพัฒนาทักษะเราได้ไหม?

ผมไปหาคำตอบใน reddit เช่นเคยว่ามีใครบ้างที่ลองแล้วสามารถพัฒนาการเขียนของตนเองได้ แน่นอนว่าต้องฝ่าดงตรีนของผู้ที่เกลียดชังเอไอแบบเข้าไส้กว่าจะได้ข้อมูลนี้มา (555) เอาล่ะ มาดูกันครับว่ามีคำตอบอะไรที่น่าสนใจบ้าง

คนนี้เขาบอกว่า

มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงการเขียนของฉันเลยสักนิด

ฉันใช้มันสำหรับการค้นคว้าเบื้องต้นที่ไม่ได้ต้องรายละเอียด แค่กลุ่มไอเดียว่าต้องไปหาข้อมูลอะไรต่อ แล้วฉันก็ไม่ได้ใช้มันบ่อยด้วย

คุณไม่ควรใช้เอไอในการเขียนจริงๆ นะ เอาจริงนะ มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่นเลย แล้วมันก็ยังทำร้ายคุณด้วย คุณไม่ได้พัฒนาความสามารถใหม่ๆ เลย (ยกเว้นการสั่งเอไอให้เขียน) อีกอย่างหนึ่ง เอไอไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ อย่างมากมันก็สุ่มแต่ไม่ได้ช่วยอะไร

อีกคนหนึ่งบอกว่า

ฉันยังชีพด้วยการเขียนนิยาย เอไอช่วยทำให้งานของฉันลื่นไหลได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาประสิทธิภาพในบางเรื่อง อย่างเช่น การค้นคว้า และการค้นหาศัพท์ที่จะเขียน (ฉันค้นพบว่าเอไอมีประโยชน์ที่สุด เจ๋งกว่าคลังคำเสียอีก) ฉันสามารถเขียนนิยายได้เร็วขึ้นเพราะตัดเวลาจากภารกิจเหล่านี้ออกไปได้มาก เอไอนี่มันเหมือนกับเลขในโลกเสมือนจริงเลยล่ะ

ฉันคิดว่าการสร้างคำขึ้นมาไม่ได้ช่วยในการเขียนโดยตรงหรอกนะ มันยังไม่ถึงมาตรฐานของฉัน ฉันเป็นนักเขียนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากว่าเอไอทั้งปวงที่เคยพบเห็นมา และฉันสงสัยว่ามันคงเป็นความจริงที่มนุษย์จะมีความคิดสร้างสรรค์มากว่าเอไอเสมอ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าและคู่หูที่ช่วยสร้างสรรค์งานศิลปะนะ ฉันมั่นใจทีเดียวว่าเอไอจะเป็นเนื้อแท้ของศิลปะหลายแขนง และอยู่ในกระบวนการส่วนบุคคลของศิลปินหลายต่อหลายคน แต่ความคิดสร้างสรรค์ต้องมาจากมนุษย์

ทำไมผมถึงเลือก 2 คนนี้มาเล่าให้ฟัง? เพราะเขาไม่ได้เกลียดเอไอและลองใช้งานก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น โอเค คนแรกเราจะเห็นถึงความไม่เห็นด้วยของเขาอยู่ ซึ่งคำว่า “ไม่ยุติธรรม” ที่เขากล่าวมานั้นส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของมนุษย์ตามทฤษฎีความเสมอภาคที่ผมได้นำเสนอไปข้างต้น แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ลองแหละ

สำหรับคนที่ 2 นั้นค่อนข้างจะมองไปตามความเป็นจริงสักหน่อย คือไม่ได้สุดโต่งไปทางเกลียดหรืออวยเอไอจนเกินจริง เขาพูดตามประสบการณ์ของเขาว่ามันใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง แน่นอนว่าในมุมมองของเขา มันไม่ได้ช่วยพัฒนาในการเขียน แต่ผมอยากให้สังเกตคำว่า “มันยังไม่ถึงมาตรฐานของฉัน” นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ผมกำลังจะพูดต่อไป

แล้วผมคิดอย่างไรกับ AI ในเรื่องการเขียน?

ก่อนอื่นผมอยากเล่าให้ฟังว่าทำไมคนในโลกนี้ถึงแบ่งเป็น 2 พวกในการมองเรื่องเดียวกัน (1) พวกแรกเป็นพวกสุดโต่ง ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ไม่มีอย่างอื่น อีกพวกหนึ่งเป็นแบบ (2) สีเทา มีการมองแยกแยะตามประเด็นว่าส่วนนี้ถูกส่วนนี้ผิด สีมันก็เลยจะปนๆ กันเป็นสีเทา

มันเป็นยังไง?

สมมุติว่ามีประเด็นให้คิดหนึ่งประเด็น แต่มี 10 องค์ประกอบให้พิจารณา พวกหนึ่งเห็นว่าประเด็นนี้ผิดไป 3 ข้อแล้ว ฉะนั้นมันต้องผิด เช่นเดียวกันกับพวกที่คิดว่าถูก เห็นว่าถูก 3 ข้อก็เหมารวมแล้วว่ามันต้องถูก ทั้งๆ ที่ยังมีอีก 7 ข้อไม่เข้าเกณฑ์ แต่ได้ตัดสินไปแล้ว เพราะในโลกของพวกเขามีแค่ขาวกับดำเท่านั้น

อีกพวกหนึ่งมองตามความเป็นจริง ดำ 3 ข้อใช่ไหม แล้วอีก 7 ข้อที่เหลือล่ะ? คือเขาจะแยกพิจารณา ไม่ได้ตัดสินแบบดำกับขาว ถ้าเจอพวกนี้ทะเลาะกันเข้าไปครับ มันไม่จบหรอก (ผมอ่านหนังสือที่มีการทดลองเรื่องนี้จากเล่มไหนมาไม่รู้ ใครทราบช่วยเตือนความจำหน่อยครับ 555)

คำถามมีอยู่ว่า…เพราะอะไรคนถึงมีความเห็นที่แตกต่างกัน?

คำตอบก็คือองค์ประกอบในการคิดไม่เหมือนกัน และรสนิยมต่อองค์ประกอบนั้นก็ไม่เหมือนกันด้วย เช่น บางคนเลือกซื้อของถูก เอาปริมาณ แต่อีกคนเลือกซื้อจองมีคุณภาพ ราคาไม่เกี่ยง แต่ต้องจับต้องได้ หากปล่อย 2 คนนี้ไปซื้อของประเภทเดียวกัน เราย่อมได้ของไม่เหมือนกัน นี่คือความแตกต่าง

แล้วอะไรของคนที่เกลียดเอไอแตกต่างจากผมบ้าง?



ผู้ที่เกลียดเอไอ

ผมซึ่งมองเป็นสีเทา

ไม่เคยลองใช้เอไอเพราะมีอคติ

ลองใช้เอไอ รู้ลึกจนเขียนหนังสือขายหลายเล่ม

เขียนนิยายเป็น

เฮ้ย ผมก็เขียนเป็น

เข้าใจหลักการเขียน

ผมก็เข้าใจ อ่านมาเยอะจนเขียนหนังสือขายแล้วเนี่ย

ใช้เวลาศึกษาการเขียนมากมาย

ผมก็ใช้เวลาเยอะนะ รู้จนคิดเทคนิคของตัวเองได้

มองว่าเอไอเป็นสิ่งคุกคามความพยายามของเขา

มองว่าเอไอมันก็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง



เอาล่ะครับ เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผมกับคนที่เกลียดเอไอไหมครับ? ตอนนี้หลายคนอาจจะเริ่มเกลียดผมแล้วด้วยจากบทความนี้ (555) อันนี้ผมแสดงให้ดูก่อนว่าพื้นฐานความคิด ความรู้ และประสบการณ์มันแตกต่างกันตรงไหนบ้าง บางคนไม่คิดจะลองใช้เพราะเกลียดมา บางคนอาจจะลองแต่ลองตัวฟรี คือตัวฟรีมันฉลาดน้อยครับ ไปใช้งานมันก็ไม่เข้าถึงความสามารถที่แท้จริงของเอไอ แล้วก็เข้าใจผิดว่ามันไม่ดี หรือบางคนลองแบบเสียเงินแหละ แต่ว่าไม่สามารถสั่งให้มันเขียนออกมาดีได้แล้วก็เข้าใจว่ามันทำไม่ได้ ซึ่งโดยความจริงแล้ว มันทำได้ครับ แต่เราสั่งมันไม่เป็นเอง นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงต้องเขียนหนังสือเรื่องการเขียนนิยายด้วยเอไอออกมา

ประเด็นที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่คือ…มันพัฒนาทักษะการเขียนของเราได้ไหม?

ผมบอกเลยว่าได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้

เพราะอะไรหรือครับ?

เพราะว่าทักษะเริ่มต้นก่อนใช้งานเอไอมันไม่เท่ากันยังไงล่ะ

สมมติว่าเอไอมันเขียนออกมาได้ระดับ 5 จาก 10 แต่คุณไประดับ 7 แล้ว ฉะนั้นมันจะเหมือนกรณีของคนที่ผมหยิบยกมา เขาบอกว่า “มันยังไม่ถึงมาตรฐาน” แน่นอนว่ามาตรฐานของเขามันต้องยืนพื้นที่ 7 แต่มันเขียนได้ 5 มันจึงทำหน้าที่ได้เป็นเพียงลูกมือเท่านั้น แต่หากคุณเริ่มที่ 0 หรือ 1 โอ้โห…มันเขียนมาให้ระดับ 5 นี่คือร้องว้าวเลย เพราะทักษะคุณยังไปไม่ถึงไง แต่คุณสามารถก้าวกระโดดมาได้ด้วยเอไอล้วนๆ

ถามว่าคนที่ทักษะต่ำกว่าเอไอแล้วจะพัฒนาขึ้นไหม?

คำตอบมีทั้ง “ได้” และ “ไม่ได้”

คนที่พัฒนาได้ต้องรู้จักสังเกตครับว่าเอไอมันเขียนอย่างไร พอทำความเข้าใจแล้วก็จะพัฒนาขึ้นได้ แต่การจะสังเกตแยกแยะมาได้นั้นคุณต้องรู้ก่อนว่า “แบบไหนดี” และ “แบบไหนไม่ดี” แล้วการจะแยกแยะอย่างนี้ได้ก็ต้องอ่านนิยายที่ดี ๆ มามาก สังเกตมามาก แต่การจะรูัว่านิยายนั้นดีไม่ดีนั้นมันไม่สามารถมองโดยผิวเผินได้นี่สิ มันต้องรู้หลักการเขียน เมื่อรู้หลักการเขียนแล้วเราจึงสามารถพิจารณาได้อย่างถ่องแท้ว่าเรื่องไหนดี และมันดีเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เพียงความรู้สึกว่าดี แต่บอกไม่ได้ว่ามันดีตรงไหน หรือไม่ดีตรงไหน ไม่ใช่แค่เพียงว่า “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” ตรงไหนเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว การที่คุณจะพัฒนาได้ก็ต้องอาศัย “การเรียนรู้” และ “การสังเกต” รวมทั้งต้อง “ฝึกฝน” จนได้ทักษะนั้นมาติดตัว

มีอะไรที่มันพอจะได้เร็วๆ ไหม?

ก็พอมีอยู่ รูปแบบการบรรยายที่เอไอให้มานี่แหละสามารถเป็นตัวอย่างได้ ว่าบรรยายอย่างไรให้เห็นภาพและสร้างอารมณ์ให้แก่ผู้อ่านขึ้นมาพร้อมกัน แต่ทั้งนี่้ทั้งนั้นมันก็ต้องสั่งให้มันเขียนออกมาได้มาตรฐานนั้นก่อนนะครับ

ผิดไหมถ้าจะใช้ AI เขียนนิยาย?

ถ้าเราเอาคำถามนี้ไปถามคนที่เกลียดเอไอ คำตอบที่ได้คงไม่เกินความคาดหมาย ไม่ตินู่นตินี่ก็ด่าฉิบหายวายป่วง ถ้าอยู่ในระดับที่ “ไม่เห็นด้วย” กับการใช้งาน อันนี้ก็คงจะได้คำตอบที่เบาลงหน่อย

ในกระทู้แรกที่ผมหยิบยกมานั้น มันมีคนหนึ่งที่กล่าวถึงว่ามันมีประโยชน์ในการตรวจคำผิดและแก้ไขงานนะ แต่ก็ไปสะดุดสายสุดโต่งที่ไม่ว่าจะมองยังไงเอไอมันก็เป็นสิ่งไม่ดี เขาของขึ้นมานิดหนึ่งแล้วก็โพสต์มายาวเหยียด

งานนี้ผมคงไม่แปลทั้งหมดนะครับ มันยาวเกินไป เขาพยายามจะโต้แย้งสิ่งที่คนเมื่อครู่กล่าวถึงว่ามันใช้ประโยชน์ทำนองนี้ได้อยู่นะ แล้วคนนี้ก็เข้ามาตอบโต้ (1) ประเด็นแรกว่าถ้าเครื่องพิมพ์ดีดไม่ทำงานล่ะ เขาก็บอกว่า เฮ้ย มึงมีความรู้ก็เขียนใส่กระดาษสิ (2) ประเด็นที่ 2 คือการตรวจคำผิด เขาก็แย้งว่าตรวจคำผิดมันต้องบอกคำที่ถูกสิ (3) ประเด็นที่ 3 คือการแก้ไข เขาบอกคนแก้งานเราหรือที่เรียกว่า Editor นั้นมันต้องมีทักษะรู้คำไหนถูกคำไหนผิด เป็นคนจริงๆ ที่มีความรู้สึก และความเข้าใจมนุษย์ แล้วเราก็ทำงานร่วมกับ Editor เหมือนกับนักดนตรีทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์

สุดท้ายเขาก็สรุปมาว่า “เอไอไม่ใช่การเขียน” เพราะมันไม่ต้องอาศัยทักษะใดๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ มันเป็นเพียงอัลกอลิทึมที่ส่องไปในอินเทอร์เน็ต แล้วน้ำข้อมูลของคนอื่นมาปะติดปะต่อกัน ฟังดูเหมือน “โอเค” ในระดับพื้นผิว แต่มันไม่มีแก่นแท้ในตนเอง คุณก็แค่หลอกตัวเองด้วยการใช้เอไอ เพราะคุณไม่ได้บรรลุทักษะใดๆ เลย ไม่ได้บ่มเพาะความสามารถอันสร้างสรรค์ในตัวคุณ โอเคถ้าคุณต้องการ คุณสามารถเขียนนิยายทั้งหมดได้เลยเอไอ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานนั้นไม่ใช่ของคุณ มันก็คล้ายกับการที่คุณอ้างว่าวาดได้เหมือน M. C. Escher แต่จริงคุณวาดได้เพียงตัวกระดูกก้างปลา

เรามาวิเคราะห์กันครับว่าเขาคิดอะไรกันแน่

ประเด็นแรกเป็นเรื่องของความรู้ – เขามองว่านักเขียนต้องมีความรู้ และใช้ความรู้นั่นกลั่นออกมาเป็นคำ ไม่ว่าจะใช้อุปกรณ์อะไร มันเป็นเพียงแค่การแปลสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา

ประเด็นที่ 2 เป็นเรื่องของการไม่ยอมรับ – ในเรื่องของการแก้คำผิด เขาบอกว่ามันต้องบอกสิว่าแก้เป็นคำที่ถูกคืออะไร อันนี้ผมนึกออกว่าโปรแกรมอย่าง Grammarly มันก็ทำอย่างที่เขาบอกแหละ และเขามองว่าการแก้คำผิดมันต้องแบบนี้เท่านั้น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วต้องแยกแยะระหว่าง “ความรู้” ที่ได้จากการตรวจคำผิด กับ “ผล” จากการตรวจคำผิดโดยใช้กระบวนการนั้นๆ ซึ่งในเรื่องของผลนั้น ไม่ว่าจะใช้ Grammarly หรือเอไอ มันก็ได้เหมือนกัน ทว่าเราใช้เวลาน้อยกว่ามากๆ เมื่อดำเนินการด้วยเอไอ แต่คนๆ นี้จะไม่ยอมรับสิ่งใดที่ไม่ได้ให้ “ความรู้” หรือ “ทักษะ” ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ประเด็นที่ 3 คือการทำงานร่วมกัน – ประเด็นนี้ผมว่าคนเขียนนี่พาเข้าป่าเข้าพงไปกันใหญ่แล้ว ประเด็นที่แล้วก็ว่ามันไม่เข้าท่าแล้วนะ มาอันนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก มันไม่ผิดนะที่เราจะใช้ Editor ที่ไม่ใช่คน โอเค มันไม่มีจิตใจ มันไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แล้วไง? ก็ช่างหัวมันสิ ผลงานที่แก้ไขออกมาจะดีหรือเลว มันก็เรื่องของเขา เขาพอใจแค่นั้น เขามีงบประมาณแค่นั้น นี่พี่แกลากไปถึงว่าเราต้องทำงานร่วมกับคนจริงๆ คือมันไม่จำเป็น โอเค เข้าใจว่าทำงานกับ Editor แล้วมันจะได้เรียนรู้ ได้ซึมซับประสบการณ์จากเขา แต่อย่างที่บอก เขาต้องแยกแยะระหว่าง “ความรู้” กับ “ผล” ว่ามันคนละอย่างกัน อย่าลากมารวมกัน

ประเด็นที่ 4 คือความสามารถจอมปลอม – สิ่งนี้แสดงอยู่ในประโยคสุดท้ายของเขาว่า “มันก็คล้ายกับการที่คุณอ้างว่าวาดได้เหมือน M. C. Escher แต่จริงคุณวาดได้เพียงตัวกระดูกก้างปลา” คือเขามองว่า “ผลงาน” ต้องเกิดขึ้นด้วย “ความสามารถ” แต่ผลงานที่ไม่ได้เกิดจากความสามารถ มันก็เหมือนการหลอกลวงคนอื่น ซึ่งผมว่ามันหลุดประเด็นไปไกลราวกับว่าเขาอัดอั้นมาจากไหนไม่รู้จึงมาระบายกับคนนี้ ทั้งๆ ที่ประเด็นเริ่มต้นนั้นบอกแค่เพียงว่ามันใช้ประโยชน์ในการแก้คำผิดและช่วยแก้ไขในฐานะ Editor ได้นะ แต่เขาก็ลากมาถึงข้อสรุปที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ต้นเรื่องกล่าวถึง ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นเรื่อง “ความรู้” หรือ “ทักษะ” อีกนั่นแหละ

ถามว่า “ความรู้” หรือ “ทักษะ” นั้นมาจากไหน?

มันก็มาจากการฝึกฝนนับเดือนนับปี แล้วนิยายแต่ละเล่มของฝรั่งนี่เขียนหลายปีนะครับ มันไม่เร็วเหมือนบ้านเรา เขาแก้แล้วแก้อีกกว่าจะได้เล่มที่สมบูรณ์ ฉะนั้น การที่คนๆ นี้วนเวียนอยู่กับเรื่อง “ความรู้” หรือ “ทักษะ” นั้น เพราะเขามองว่าไอ้พวกที่ใช้เอไอมันไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้เลย มันไม่ยุติธรรม และนั่นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนแรก ทั้งหมดล้วนเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกตามทฤษฎีความไม่เท่าเทียม

คุณรู้ไหมครับว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น? มันมีคนมาตอบต่อจากนี้อีก ซึ่งคราวนี้แตกประเด็นกันไปอีกแล้ว

ก่อนอื่นคนนี้เขาแสดงจุดยืนร่วมว่า

ฉันเห็นด้วยว่าเอไอนั้นใช้ทักษะเพียงน้อยนิดเท่านั้น แล้วมันก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์ แต่มันเอาความคิดสร้างสรรค์ออกไปจากปัจเจกบุคคล อย่างไรก็ตาม คุณน่ะขาดการมองการณ์ไกลเกี่ยวกับพลังของ AI และเห็นได้ชัดว่าคุณกลัวว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปแค่ไหนหรือจะเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า AI ดีกว่าบรรณาธิการส่วนใหญ่อยู่แล้ว และสามารถสร้างนวนิยายขนาดสั้นต้นฉบับได้อย่างง่ายดาย

อันนี้เขามองถึงความล้าหลัง การกลัวการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีที่ตนเองไม่ถนัด แล้วประเด็นใหม่ก็เกิดขึ้นต่อจากนี้ เพราะคนก่อนหน้านี้กล่าวไว้ในบรรทัดสุดท้ายของตอนสรุปว่า “คุณสามารถเขียนนิยายทั้งหมดได้เลยเอไอ แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานนั้นไม่ใช่ของคุณ มันก็คล้ายกับการที่คุณอ้างว่าวาดได้เหมือน M. C. Escher แต่จริงคุณวาดได้เพียงตัวกระดูกก้างปลา” และนั่นทำให้ประเด็นใหม่เกิดขึ้น

คำถามที่แท้จริงคือ: ความคิดริเริ่ม (ต้นฉบับ) คืออะไร?

นี่คือสิ่งที่ขัดกับสัญชาตญาณ: งานศิลปะส่วนใหญ่ไม่มีต้นฉบับและถูกขโมย (เช่น ครีเอทีฟส่วนใหญ่รับแรงบันดาลใจมาจากผู้อื่น) การเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะมาจากหนังสือของศิลปินคนอื่น ประวัติศาสตร์ หรือสิ่งรอบตัวคุณ

จิตรกรไม่ได้สร้างใบหน้ามนุษย์ ประติมากรรมไม่ได้สร้างร่างกายมนุษย์ ต้นไม้ ดอกไม้ น้ำ และทุกสิ่งในจักรวาลนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เลโอนาร์โด ดาวินชี ดึงภาพจากรอยขีดเขียนบนผนังหรือใบหน้าที่นั่งอยู่ในสวนสาธารณะ มนุษย์ไม่ได้สร้างมือที่วาดหรือเขียนงานศิลปะ

คุณต้องมองให้ลึกลงไปว่าแท้จริงแล้วศิลปะคืออะไร:

จักรวาลของการก็อป!

ประเด็นนี้เกิดจากคนก่อนหน้านี้อ้างถึงงานศิลปะว่าคุณไปลอกเขามา ถึงทำได้เหมือนแต่มันก็ไม่ใช่คนงานของตัวเอง เพราะแนวคิดของเขามองว่าคนที่ใช้เอไอไม่ได้มี “ความรู้” หรือ “ทักษะ” ในการสร้างสรรค์ผลงานนั้นออกมา มันก็เลยกลายเป็นประเด็นเรื่อง “การลอก” ขึ้นมาถกกันอีก

แนวคิดของคนนี้มองว่าในจักรวาลนี้มันไม่มีอะไรที่เป็นต้นฉบับอย่างแท้จริง ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากการลอก บางสิ่ง บางอย่าง หรือบางส่วน ภายใต้คำศัพท์ที่สวยหรูว่า “แรงบันดาลใจ” ทั้งแท้ที่จริงแล้วมันก็คือการ “ขโมย”

เอาล่ะ โดยสรุปแล้ว คนนี้เขามองว่าจะเขียนเอง หรือใช้เอไอเขียน มันก็ขโมยเหมือนกันนั่นแหละ เพราะสิ่งที่เป็นต้นฉบับจริงๆ นั้นมันไม่มี คือเขาเหมารวมกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อย่างตัวอย่างที่เขายกมา จิตรกรวาดภาพตาม “ต้นแบบ” ซึ่งต้นแบบนั้นไม่ได้เกิดจากจินตนาการของจิตรกร ซึ่งรูปแบบดังกล่าวมันก็เหมือนกับเอไอที่มันเรียนรู้จากงานเขียนของคนอื่นนั่นแหละ

หากคุณถามผมว่าคิดยังไงกับการถกเถียงของ 2 คนนี้ ผมก็บอกได้ว่าไอคนล่าสุดนี่ มันก็พูดไม่ผิด แต่ประเด็นคือการที่เอไอเรียนรู้จากสิ่งที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองอยู่ มันก็สามารถมองได้ว่า “ผิดกฎหมาย” และ Mindset ของคนเรา อะไรที่ผิดกฎหมายมันต้องไม่ดี ในขณะที่คุณอาจจะลักจำข้อมูลจากใครมา จดจำวิธีการของใครมา หรือแม้แต่ลอกเลียนแบบมาโดยตรงก็ตาม หากสิ่งนั้นไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย มันก็ถือว่าไม่มีความผิดอย่างนั้นหรือเปล่า? นี่คือความไม่ชัดเจนว่าเราจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าแบบไหนถูกหรือผิด มันก็เลยถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น

หากเราใช้กฎหมายเป็นเกณฑ์ บางส่วนที่เขาควรจะถูกก็กลายเป็นผิด บางส่วนที่ควรจะผิดก็กลายเป็นถูก หากเรายกกฎหมายออกโดยคำนึงถึง “ต้นฉบับ” เป็นหลัก ก็ไม่มีอะไรชัดเจนอีกว่าสิ่งที่เขียนออกมานั้นจะไม่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดหรือแรงบันดาลใจจากสิ่งที่มีอยู่ก่อน คราวนี้มันก็อยู่ที่ผู้คนว่า…เขาเลือกที่จะ “เชื่อ” แบบไหน

เราขายหนังสือที่เขียนด้วย AI ได้ไหม?

ประเด็นต่อมาเป็นเรื่องความถูกต้องตามกฎหมาย เพราะธรรมดาเมื่อเราเขียนสิ่งใดออกมา มันก็เป็นลิขสิทธิ์ของเราใช่ไหมครับ การที่ใครจะเอาสิ่งที่เราเขียนไปใช้งาน มันก็ต้องทำสัญญากันเหมือนที่เราต้องเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ เพื่อให้เขาได้สิทธิ์ในการพิมพ์หนังสือของเรา

คำถามมีอยู่ว่า…หนังสือที่เราใช้ AI เขียนนั้น เป็นลิขสิทธิ์ของเราหรือเปล่า?

คนนี้ให้คำตอบว่า

ในมาตรฐานตอนนี้ (และกำลังเป็นกระแสอยู่) จุดยืนของสำนักงานลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาชี้ว่าเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยเอไอยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ เว้นแต่จะมีมนุษย์เกี่ยวข้องในการประดิษฐ์หรือแก้ไขเนื้อหานั้น เพื่อทำให้มันเป็นสิ่งที่กระทำโดยมนุษย์เป็นส่วนมาก

บริษัทที่ผลิตเอไอไม่สามารถฟ้องคุณได้ (ที่เอาเนื้อหาจากเอไอไปใช้) เพราะพวกเขาก็ไม่ได้มีสิทธิในเนื้อหาเหล่านั้นไปมากกว่าคุณ และถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตัวอักษรได้จนถึงเกณฑ์ของลิขสิทธิ์ คุณย่อมได้รับสิทธิ์นั้นโดยชอบธรรม

โอเค ในเรื่องลิขสิทธิ์ผมว่าคงไม่มีใครเกินอเมริกา และตามกฎหมายของเขาที่ระบุมาเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าหากเราใช้ความพยายามมากพอในหนังสือเล่มนั้น มันก็จะเป็นลิขสิทธิ์ของเรา

จากนั้นก็มีคนถามต่อไปอีกว่า

ถ้าอย่างนี้มีคนเผยแพร่หนังสือที่เขียนโดยเอไอ ไม่ว่าใครก็สามารถเอามันไปขายได้อย่างนั้นสิ?

เขาตอบกลับมาว่า

ฉันคิดว่าใช่ ถ้ามันเขียนโดยเอไอทั้งเล่มด้วยความพยายามของมนุษย์เพียงเล็กน้อยนะ แต่มันไม่เหมือนเอไอวาดภาพสิ เนื้อหาที่เขียนออกมามันต้องใช้การใส่ข้อมูลโดยน้ำมือของมนุษย์อยู่ค่อนข้างมาก และเป็นไปได้ว่าโดยเฉลี่ยของร้อยแก้วที่ได้รับการช่วยเหลือจากเอไอจะเข้าเกณฑ์ของลิขสิทธิ์ที่นับว่าเขียนโดยมนุษย์

อีกทั้งฉันก็ไม่ชอบให้ไปลอกงานคนอื่นมาใช้โดยบอกว่าตนเองเป็นคนทำเพียงแค่มันถูกเขียนขึ้นโดยเอไอ แน่นอนว่าฉันรวมถึง public domain ด้วย (ตามกฎหมายของสหรัฐ หนังสือที่เราเผยแพร่นั้น จะเป็นลิขสิทธิของเราไปตลอดชีวิต เมื่อเราตายไป 70 ปี หนังสือเล่มนั้นจะเป็น public domain เป็นสาธารณะ คือใครๆ ก็สามารถเอาไปใช้ได้ หรือจะเอาไปขายก็ยังได้)

มีเพียงศาลและสำนักงานลิขสิทธิ์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนใจและทำให้มันอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างมั่นคง

ตอนนี้มันเหมือนกับ wild west กับสิ่งพวกนี้ (เหมือนยุคคาวบอยที่กฎหมายมันไปไม่ค่อยถึง แต่ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงว่าถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องดวลปืนให้ตายกันไปข้างหนึ่งด้วยหรือเปล่านะ 555)

แล้วการเขียนนิยายไทยด้วย AI ล่ะ?

การเขียนนิยายภาษาไทยนี่หายห่วงเลย เพราะเราใช้ภาษาไทยกันใช่ไหมครับ เอ๊ะ เมื่อเราใช้ภาษาไทย คำสั่งมันต้องเป็นภาษาไทยด้วยไหม? สิ่งที่ควรรู้สำหรับคนที่ไม่เคยลอง หรือไม่คุ้นเคยกับ AI พวกนี้คือเอไอสามารถสั่งด้วยภาษาไทยได้ครับ แต่มันไม่ได้เรื่องหรอก เพราะคำตอบที่มาด้วยภาษาไทยนั้น มันต้องประมวลผลมาจากข้อมูลภาษาไทยที่มันได้เรียนรู้มา แล้วข้อมูลภาษาไทยมันมีน้อยมากเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ ฉะนั้น ถ้าจะใช้ AI เขียนนิยายก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษครับ

หลังจากสั่งให้มันเขียนแล้วเป็นยังไง?

มันเขียนเสร็จก็ต้องเอามาแปลครับ แม้การใช้ Google Translate จะทำให้คุณได้คำแปลมาก็จริง แต่มันแปลไม่ค่อยได้เรื่องหรอกครับ โดยเฉพาะสำนวนที่เป็นสแลงภาษาอังกฤษ อันนี้มันจะแปลมาตรงตัวมาให้ซึ่งผิดความหมาย อีกทั้งโดยรวมก็ใช้งานไม่ได้หรอกครับ คุณต้องมาปรับสำนวนใหม่อยู่ดี

แล้วอย่างที่บอกว่าเราต้องสั่งเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อเราสั่งเป็นภาษาอังกฤษ เอไอมันก็คือตัวที่เรียนรู้มาจากข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ แล้วนิยายภาษาอังกฤษมันก็โซนยุโรปโซนอเมริกา ซึ่งแนวการเขียนแตกต่างจากทางฝั่งเอเชีย อีกทั้งวัฒนธรรม สังคม และการดำเนินชีวิตยังแตกต่างกันอยู่ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงสุดขั้วกันในบางเรื่อง การที่เราสั่งมันเขียนออกมาแล้วสามารถใช้งานได้เลยหลังจากการปรับสำนวนเล็กน้อยนั้น…มันเป็นไปไม่ได้เลยครับ ฉะนั้นมันมีอะไรให้เราต้องดำเนินการเองมากมายอยู่พอสมควร และผมคิดว่าหากพิจารณาในมุมมองของฝรั่งแล้ว งานเขียนที่ใช้ AI สำหรับบ้านเรานั้นจะนิยายที่เป็นลิขสิทธิ์ของเราครับ

แล้วถ้าหากเราใช้ AI เขียนบรรยายทั้งย่อหน้าเลยล่ะ?

โอเค มันมีความกังวลกันได้หากคุณไม่ได้ปรับแก้ในสิ่งที่เอไอเขียนมาให้เลย แค่แปะให้ Google Translate แปลแล้วก็ใช้งานทันที หรือทำการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แบบนี้เราจะได้ลิขสิทธิ์ไหม?

อันนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเราขายนิยายใช่ไหมครับ แล้วนิยายนี่เขานับเป็นเล่ม ฉะนั้น นิยายหนึ่งเล่มคือชิ้นงานสำเร็จของเรา ทีนี้มีปัญหาว่าการบรรยายนั้นทำโดยเอไอทั้งย่อหน้า แต่ย่อหน้านั้นมันไม่ได้ถึงครึ่งเล่มของนิยายเลยนะครับ ฉะนั้นมันจึงเป็นไม่ได้ที่เราจะไม่ได้สิทธิในนิยายเล่มนี้ เว้นเสียแต่ว่าการบรรยายทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเอไอ และจำนวนคำทั้งหมดเกินครึ่งเล่ม อันนี้ถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ได้เข้าข่ายทางลิขสิทธิ์แล้วนะครับ

แล้วมันเขียนได้ดีไหม?

มันก็ดีแหละถ้าใช้งานเป็น ปัญหาคือใช้งานกันไม่เป็นนี่แหละ ในเบื้องต้นนี่ถ้าต้องการให้มันเขียนแค่บางส่วนบางตอนโดยมีเราเป็นผู้คิดโครงเรื่อง มันทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้มันคิด อันนี้มันจะออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เพราะอะไรเหรอครับ?

เพราะว่ามันไม่มีความคิดสร้างสรรค์น่ะสิ สิ่งที่มันแนะนำมาก็ไม่แคล้วที่จะคล้ายของเดิมที่มีอยู่ก่อน สถานการณ์หรือการนำเสนออาจจะเปลี่ยนไป แต่ความสดใหม่มันไม่ใช่แค่เพียงเปลือกนอกครับ ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งอยู่เบื้องหลังของงานเขียนนั้นจะไม่ปรากฏ เป็นเพียงนิยายกลวงๆ ที่ไม่ได้มีอะไรดึงดูดให้แก่ผู้อ่าน ไม่มีอะไรให้พวกเขาได้จดจำหรือแม้แต่จะอยากอ่านต่อให้จบ มันไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีความฝันที่จะเป็นนักเขียน หรือไม่มีความรู้สึกที่อยากจะสร้างเรื่องราวหรือตัวละครขึ้นมาจากความคิด แต่มันคือทางออกสำหรับคนที่มีความคิดโลดแล่นอยู่ในหัว แต่ไม่สามารถเขียนมันออกมาเป็นนิยายได้

การเขียนครั้งแรก ปากกาจะหนักอึ้ง

เราใช้ชีวิตมากับการลอก ทำการบ้านก็ลอกเพื่อน ทำรายงานก็ลอกหนังสือ ที่หนักไปกว่านั้นคือการเอาข้อมูลในเว็บมาทำเป็นรายงานทั้งดุ้นโดยไม่ได้ผ่านหัวสมองเลยแม้แต่จะเรียบเรียงข้อมูลเหล่านั้น การจะให้เขียน “ด้วยภาษาของตัวเอง” จึงเป็นไปไม่ได้ ผมรู้ ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่สิ่งนี้จะเปลี่ยนไปเมื่อคุณกล้าที่จะ “เริ่ม” เขียนตัวแรกออกมา แต่บางทีมันก็เหมือนเผชิญหน้ากับภูผาที่สูงชัน เพียงแค่มองก็ถอดใจว่าคงไปไม่ถึงฝัน แต่แทนที่จะทิ้งความฝัน ทำไมคุณถึงไม่ใช้เอไอล่ะ?

ผมกำลังเชียร์ให้ใช้เอไออย่างนั้นหรือ?

ใช่ครับ ผมอยากให้ใช้ในตอนเริ่มต้น คือการที่เราได้นิยายเป็นชิ้นเป็นอันแม้เพียงย่อหน้าเดียว มันก็เริ่มรู้สึกใจชื้น เป็นกำลังให้เราว่าเราทำได้ เพราะสิ่งที่ยากที่สุดก็คือ…ก้าวแรก

หลังจากที่คุณเริ่มทำได้ คุณก็อยากจะทำให้มันดีขึ้น ซึ่งบางคนแค่อ่านนิยายดังเยอะๆ ก็ทำได้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ทุกเรื่องหรอกครับ ตราบใดที่เขายังจับจุดไม่ได้ว่าอะไรที่ “เวิร์ค” และอะไรที่ “ไม่เวิร์ค” มันก้จะเหมือนการลองผิดลองถูกไปเรื่อย หากเขียนเร็วจบเร็ว ก็จะรู้คำตอบนั้นได้เร็ว แต่บางคนก็อาจจะท้อใจจนเลิกเขียนไปก็มี

หากเจอแบบนี้แล้วต้องทำยังไง?

ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมครับ ดูหลักการเขียนว่ามันทำอย่างไร ได้หลักแล้วก็ไปเก็บเทคนิคในการเขียนเพื่อให้นิยายของเราเปล่งประกายมากขึ้น ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ผมมีไว้ในช่องยูทูบ Fresh Novelist และ “หนังสือฟรี” ที่มีให้อ่านได้ในมือถือของคุณ แต่หากคุณอยากได้อะไรที่เป็นขั้นเป็นตอน ผมแนะนำให้อ่าน มือใหม่มากอยากเขียนนิยาย กับ พล็อตย่อยมิใช่ย่อย เล่ม 1 ก่อนครับ

หนังสือการเขียนนิยายด้วย AI

เอไอในตอนนี้มีออกมาหลายตัวเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ทุกตัวหรอกที่สามารถสั่งให้เขียนนิยายได้ เพราะมันสมองมันยังไปไม่ถึง อีกทั้งมันยังมีทั้งตัวฟรีและเสียเงินให้เราได้เลือกใช้ หากเราใช้เป็นก็จะย่นย่อเวลาในการเขียนนิยายของเราได้มากเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าการเขียนของคุณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่ลดลง เมื่อคุณเขียนจบเร็วกว่าเดิม คุณก็จะขายได้เร็วกว่าเดิม แล้วอย่าลืมนะครับว่าการขายนิยายออนไลน์มันเป็น Passive Income ทำครั้งเดียวกินได้ทั้งชาติ ฉะนั้นรายได้ของคุณจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือนอย่างมั่นคง

รู้ไหมครับว่านิยายนี่สร้างรายได้สูงสุดให้เราได้เท่าไหร่?

สำหรับคนที่ขายดิบขายดีระดับต้นๆ ของเมืองไทยในขณะนี้ รายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 10,000,000 บาทครับ

การขายนิยายมันไม่มีเพดาน มันอยู่ที่ว่านิยายของคุณมีคุณภาพ และออกได้เร็วทันรวย

ในตอนนี้หนังสือของผมออกมา 2 ชีรีส์ อันแรกเป็น “การเขียน” ส่วนอันที่สองเป็น “การซ่อม” ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของการเขียนนั่นแหละ โดยแต่ละเล่มก็จะมีเทคนิคและคำสั่งที่แตกต่างกันออกไปตามสิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอ ในขณะที่การซ่อมจะยกตัวอย่างนิยายจริงมาชี้ให้เห็นว่ามันพลาดตรงไหน เพื่อให้คุณได้รู้ว่า “ไม่ควรทำอะไร” และ “ควรทำอะไร” จากนั้นก็เป็นการแก้ไขสถานการณ์ว่าถ้าจะซ่อมนิยายแนวนี้ (ซึ่งมันก็เหมือนรื้อเขียนใหม่นั่นแหละ 555) ต้องทำอย่างไรบ้าง ไม่หรอก มันเหมือนกับสอนเขียนนิยายประเภทนั้นมากกว่า แต่เหมือนใช้โครงเรื่องในตัวอย่างเป็นตัวตั้งว่าจะใช้เอไอช่วยอย่างไรให้มันได้สิ่งที่ดีกว่าเดิม ลองไปดูกันนะครับ

หนังสือชุดการเขียนนิยายด้วย AI

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 1

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 2

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 3

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 4

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 5

การเขียนนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 6

หนังสือชุดการซ่อมนิยายด้วย AI

การซ่อมนิยายด้วย (AI) ปัญญาประดิษฐ์ เล่ม 1

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *