3 เทคนิคการนำเสนอตัวละคร

3 เทคนิคการนำเสนอตัวละคร

.

นิยายต้องมีตัวละคร แล้วตัวละครมันไม่ได้แนะนำตัวเองได้ทุกครั้งหรอกนะครับ เราต้องนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าตัวละครตัวนั้นชื่ออะไรเป็นอย่างไร โอเค…ในบทสนทนาเราสามารถให้ตัวละครอีกตัวหนึ่งเอ่ยทักด้วยชื่อของตัวละครอีกตัวหนึ่งได้ แต่รายละเอียดอย่างอื่นเราไม่สามารถใส่ลงไปในนั้นได้เลย

สิ่งที่มักจะพบกันบ่อย ๆ สำหรับนักเขียนมือใหม่คือ…การตั้งชื่อให้ตัวละครเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้บรรยายอะไรเพิ่มเติมเลย รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ใส่ชุดอะไร และที่สำคัญคือ…มันเป็นใคร จู่ ๆ ก็โผล่มาแล้วก็พูด ซึ่งโดยส่วนใหญ่มันไม่จำเป็นต้องพูดเลย แล้วเราก็สามารถตัดเนื้อหาตรงส่วนนั้นออกไปได้ บางเรื่องผมเห็นว่าตัดไปค่อนบทยังได้เลย ไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย ใส่เข้ามาเพื่อให้นิยายดูแย่ ยิงถ้าเป็นบทแรกด้วยแล้ว มันคือการฆ่าตัวตาย นิยายไม่ทันได้เกิด ตายเสียแล้ว

.

1 กระชับ ชัดเจน ประทับใจ

เทคนิคแรกเป็นรูปแบบการแนะนำตัวละครแบบสั้น ๆ มันจะคล้ายกับเกมโชว์ในการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขัน หรือจะเป็นการแนะนำแขกรับเชิญในรายการทอล์คโชว์ก็แบบเดียวกัน เขาจะแนะนำตัวสั้น ๆ เพราะเวลามีจำกัด คนก็รอดูอยู่แหละว่าใครจะมา ซึ่งสิ่งสำคัญของการแนะนำตัวแบบนี้ก็คือ จุดเด่น

สิ่งที่ทำให้ตัวละครแตกต่างนั่นแหละครับคือ “จุดเด่น”

ทำไมต้องมีจุดเด่น? เพราะมันเป็นสิ่งที่จะให้คนจดจำตัวละครนั้น ๆ คุณมาบอกลักษณะรูปลักษณ์ภายนอกได้มั้ย ก็ไปได้ เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องอธิบายอยู่แล้ว ทว่าผู้คนไม่จดจำ เพราะมันไม่ได้มีสิ่งที่แตกต่างไปจากตัวละครอื่น เช่น จื่อฟานเป็นชายหนุ่มมีฐานะ หน้าตาปานกลางผู้มีฉายาว่า “อิ่มเป็นหลับ ขยับเป็นแดก” เห็นไหมครับว่าเพียงแค่ประโยคเดียวก็สร้างภาพที่ชัดเจนเข้าไปในใจของเราแล้ว ยิ่งถ้าตัวละครในเรื่องเรามีมากมายอย่างนิยายจีนโบราณหรือกำลังภายใน ตัวละครไหนอยากให้มันเด่นชัด เทคนิคนี้ต้องใช้กันแล้วล่ะครับ

.

2 ขยายความด้วยคำถาม

หากจะว่าไปแล้วมันก็คล้ายการสัมภาษณ์อยู่เหมือนกันนะ แต่มันเป็นคำถามที่คุณต้องตั้งขึ้นและเป็นคุณอีกนั่นแหละที่จะต้องตอบคำถามเหล่านั้นเอง การใช้เทคนิคนี้คุณจะต้องมีการแนะนำตัวละครเบื้องต้นอย่างน้อย 1 – 2 ประโยค เพราะถ้าไม่มี มันก็ทำไม่ได้

ผมจะยกตัวอย่างการแนะนำของตัวละครครั้งก่อนที่ว่า จื่อฟานเป็นชายหนุ่มมีฐานะ หน้าตาปานกลางผู้มีฉายาว่า “อิ่มเป็นหลับ ขยับเป็นแดก” จากนั้นเราก็แยกออกมาเป็นคำๆ ก่อนที่จะรัวคำถามเข้าไป

จื่อฟานเป็นชายหนุ่ม = ชายแท้มั้ย? คนแถวไหน? แถวนั้นมีอะไรเด่น? ตระกูลจื่อเหรอ? ตระกูลนี้ทำอะไร? คนอื่นมองตระกูลนี้ยังไง? อายุเท่าไหร่?

มีฐานะ = รวยขนาดไหน? บ้านใหม่มั้ย? มีบ้านกี่หลัง? มีรถกี่คัน? ทรัพย์สินเป็นของเขาหรือของพ่อ? ใช้จ่ายอะไรได้บ้างในแต่ละเดือน? มีฐานะเพราะอะไร?

หน้าตาปานกลาง = อ้วนมั้ย? หัวล้านมั้ย? มีผู้หญิงสนใจหรือเปล่า?

ผู้มีฉายาว่า “อิ่มเป็นหลับ ขยับเป็นแดก” = กินอะไรถึงอิ่ม? ชอบกินอะไร? ทำไมอิ่มแล้วถึงหลับ? ทำงานกับเขาบ้างมั้ย? สังคมมองว่าดีหรือไม่ดี?

พอเราเอาคำตอบมาเรียบเรียงรวมกันก็จะได้คำบรรยายแบบนี้

จื่อฟานเป็นชายหนุ่มที่ได้รับการนินทาหนาหูในหูหนานว่าเป็นตัวล้างผลาญของตระกูลจื่อ ตระกูลจื่อเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งในหูหนาน มีชื่อเสียงในการทำการค้าอย่างตรงไปตรงมา เสียอย่างเดียวที่มีบุตรชายไม่เอาไหน นอกจากไม่ช่วยทำการงานแล้วยังใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนป่านนี้แล้วย่างเข้าอายุยี่สิบปีแต่ก็ไม่มีใครตอบรับจะเป็นเจ้าสาว เงินทองเป็นของที่ตระกูลใด ๆ อยากได้ก็จริงอยู่ แต่เมื่อตกทอดมาสู่จื่นฟานแล้วมันอาจจะไม่เหลือให้ลูกหลาน จะพลันตกอับเป็นยาจกอย่างไม่ทันตั้งตัว ตระกูลต่าง ๆ จึงกล่าวเลี่ยงเมื่อตระกูลจื่อส่งคนมาสู่ขอบุตรีในตระกูลของตน

บุตรชายผู้ไม่เอาไหนของตระกูลจื่อมีร่างกายที่ใหญ่โตอันอัดแน่นไปด้วยไขมัน ชุดผ้าไหมที่สวมใส่ก็เหมือนพร้อมจะฉีกขาดได้ตลอดเวลา หน้าตาไม่ถึงกับขี้เหร่ แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลาจับใจ เสียทีที่ถูกตามใจ วัน ๆ เอาแต่กินกับนอนจนได้ฉายาว่าอิ่มเป็นหลับขยับเป็นแดก

.

3 บรรยายให้เห็นตัวตน

เทคนิคในข้อนี้ก็คล้าย ๆ กับข้อที่แล้วล่ะครับ แต่แทนที่เราจะกำหนดประโยคแนะนำมา 1 ประโยคแล้วตั้งคำถามขยายความเข้าไปนั้น เราใช้วิธีกำหนดหัวข้อของข้อมูลที่ชัดเจนลงไปเลย จากนั้นเราก็เอาข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงเป็นการแนะนำตัวละคร วิธีการกรอกข้อมูลนี้มันก็คล้าย ๆ กับกรอกแบบฟอร์มสมัครงานนั่นแหละ เพียงแต่ว่าหัวข้อแต่ละอย่างนั้นเป็นการทำให้เห็นตัวละครชันเจนยิ่งขึ้น ทว่าโดยปกติแล้วถึงเราจะกรอกไปก็ไม่ได้ใช้งานข้อมูลเหล่านั้นอยู่ดี เพราะสไตล์การเขียนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงกระนั้นผมก็จะกำหนดหัวข้อของข้อมูลที่เราจะกรอกไว้เผื่อว่าใครชอบใช้เทคนิคนี้

มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

บุคลิกของตัวละคร – บุคลิกของตัวละครแบบง่าย ๆ 3 – 4 ประโยคก็พอครับ บางคนอาจจะใช้รูปแบบทางจิตวิทยาที่เขาแจกจงกันมา แต่ผมว่าอย่าเลย มันไม่ตรงกับที่เราต้องการหรอก เสียเวลาทำความเข้าใจอีกต่างหาก

ข้อบกพร่อง – ข้อบกพร่องเป็นสิ่งที่ตัวละครต้องมีและเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วมันจะเกี่ยวเนื่องกับพล็อต ตัวละครต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ แต่ติดที่ข้อบกพร่องนี้แหละ แต่เมื่อข้ามมันไปได้ ตัวละครก็จะเติบโตขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือขาดสิ่งใดก็ไปหาสิ่งนั้นมา แต่บทบาทสำคัญของข้อบกพร่องนี้ก็คือ “จุดอ่อน” ของตัวละครเช่นเดียวกัน

แรงจูงใจ – การจะลงมือทำอะไรสักอย่างมันต้องมีแรงจูงใจ เอาง่าย ๆ มองที่ตัวเรา ถ้าไม่มีแรงจูงใจเราก็จะรู้สึก “ขี้เกียจ” แม้สิ่งนั้นมันจะดีนะ แต่แรงจูงใจมันไม่มากพอก็นอนดูซีรี่ส์ดีกว่า แรงจูงใจมีแบบภายนอกกับแบบภายใน แรงจูงใจภายนอกคือสิ่งที่เราเห็นกันหยาบ ๆ เช่น เรานักเขียนอดอยากจะอดตายก็เลยต้องเขียน หรือเห็นยอดเงินแล้วก็ใจฟู ปั่นนิยายจนลืมพักผ่อน ส่วนแรงจูงใจภายในก็เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เช่น เราชอบ เราอยากเป็นนักเขียนก็เลยเขียน แม้จะขายไม่ได้เลยก็อยากจะเขียนเป็นต้น นี่แหละ แรงจูงใจไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก มันก็ผลักดันให้ตัวละครทำอะไรสักอย่างทั้งนั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าหากตัวละครนั้นเป็นตัวเอก มันจะมีแรงจูงใจที่ทับซ้อนกับ “เป้าหมาย” แต่ในสถานการณ์เฉพาะฉากเฉพาะตอนมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ตามพล็อตที่คุณกำหนดให้ ส่วนตัวละครอื่นเขาก็จะมีแค่ตามฉากตามพล็อตเท่านั้นแหละ เพราะพวกเขาไม่ใช่ศูนย์กลางของเรื่อง

ลักษณะของตัวละคร – ตัวละครแต่ละตัวล้วนมีลักษณะที่ดีและไม่ดี ในส่วนที่ไม่ได้นั้นแตกต่างจาก “ข้อบกพร่อง” นะครับ เพราะมันไม่ได้มีผลที่เลวร้ายขนาดนั้น เพียงแต่เป็นลักษณะที่ไม่ดีเท่านั้นเอง เช่น ความโลภ หรือความอิจฉา โอเคมันเป็นลักษณะที่ไม่ดี แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียตลอดเวลาไง ในเรื่องของลักษณะที่ดีก็คล้ายกันครับ มันจะนำมาเรื่องที่ดีมาให้ตัวละคร หรือพูดให้ง่ายก็คือมันมีประโยชน์ต่อตัวละครนั่นแหละ

พฤติกรรมเฉพาะตัว – คนเรามันจะมีพฤติกรรมเฉพาะตัวอยู่ บางทีก็มีคนอื่นทำบ้าง บางทีก็มีแค่คนเดียวที่ทำ แต่พึงรู้ไว้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้มันดูแปลกเมื่อเทียบกับคนจำนวนมาก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่นี้มีแค่ตนคนเดียวที่ทำ พอไปเห็นในข่าวหรือโซเชียลก็จะร้องว่า “นึกว่ามีเราคนเดียวที่ทำแบบนี้เสียอีก” พฤติกรรมแบบนี้เป็นยังไง เช่น แคะขี้มูกแล้วเอาไปป้ายใต้โต๊ะ หรือถ้าหนักกว่านั้นก็จะเอาไปดีดใส่คนอื่น หรือจะเป็นอาการของความเครียด เครียดแล้วชอบกัดเล็บ หรือเดินงุ่นง่าน เป็นต้น สิ่งนี้จะสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวละครให้เด่นชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนหนึ่งของพล็อตได้อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ตัวเอกสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้แล้ววิเคราะห์สถานการณ์อย่างชาญฉลาด

ปรัชญา – อันนี้ผมชอบนะ ตัวละครที่มีปรัชญาหรือข้อคิดประจำใจที่ใช้ได้จริง ผมจำได้ดีเลยตอนดูเรื่อง Alian vs Predator แล้วผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งพกปืน แล้วตัวละครอีกคนก็ทักว่าจะเอาไปทำไม เธอก็บอกว่า “มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี” โอ้โถ ประทับใจ ผ่านมาสิบกว่าปียังจำไม่แม่นยำ นอกจากนี้แล้ว การที่ตัวละครมีปรัชญานี้ก็อาจจะเป็นวิถีชีวิตของเขาได้เช่นกัน เช่น คนที่มองว่าเงินคือทุกสิ่งก็จะพยายามหาแต่เงินโดยไม่สนใจเรื่องอื่น พูดง่าย ๆ มันก็จะกลายเป็น Mindset ของเขานั่นแหละ แต่เป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุดของเขา

สมบัติล้ำค่า – แก้วแหวนเงินทองไรงี้เหรอ? เปล่า ตัวละครแต่ละตัวไม่ได้มีแนวคิดว่าเงินทองหรือของนอกกายเป็นสมบัติที่ดีที่สุดที่เขามีหรอกนะ บางคนอาจจะคิดว่าครอบครัวของเขาเป็นสมบัติล้ำค่าก็ได้ ฉะนั้น เมื่อมีสถานการณ์บางอย่างที่ต้องเลือกระหว่างสิ่งอื่นกับสมบัติล้ำค่าของเขา เขาก็อาจจะเลือกสมบัติ เว้นแต่ว่าพึ่งจะได้คิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ล้ำค่าอย่างที่ตัวเองเข้าใจแล้วไปเลือกอีกอย่างหนึ่ง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *