การใช้ Red Herring เพื่อการหักมุม

การใช้ Red Herring เพื่อการหักมุม

วันก่อนผมเลื่อนไปเจอคลิปหนึ่ง ซึ่งคนในคลิปน่าจะเป็นคนกัมพูชาที่พูดภาษาแขมร์ เด็กผู้ชายกำลังรีบผ้าขณะที่พ่อนอนแหกขาอยู่ใกล้ ๆ เขาออกศอกทั้งสองตั้งที่เข่าเพราะกำลังเล่นเกมมือถืออยู่ ลูกชายรีดผ้าไปไม่กี่วินาทีก็ยกเตารีดขึ้นมาดู เหมือนมันจะไม่ร้อน แต่พอเอามาทาบก็ถึงกับสะบัดมือแล้วเตารีดไว้บนผ้า

ผู้เป็นพ่อแม้เล่นเกมอยู่ก็ยังคอยสอดส่อง เห็นลูกทำอย่างนั้นก็ชี้นิ้วบอกว่า “เฮ้ย อย่าวางเตารีดแบบนั้น เดี๋ยวผ้าไหม้”

ลูกชายก็รีบเอาเรารีดไปวางข้าง ๆ พอเหมือนจะหายทรมานจากความร้อนก็มารีบต่อ จุดพีคอยู่ตรงนี้พอพ่อเผลอ เจ้าเด็กน้อยก็เอาเตารีดไปวางไว้ที่บนเป้าของพ่อ!! (นี่มันฆ่ากันชัด ๆ !!)

“เฮ้ยย!!” ผู้เป็นพ่อตกใจรีบยกเตารีดออก แต่เมื่อไม่ได้รับอันตรายก็ลองเอามือแตะเตารีดอย่างหวาดกลัว เขารู้ความจริงว่ามันไม่ร้อนพร้อมกับลูกชายที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน

การที่ผมเอามาเล่าในที่นี่ก็แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับเนื้อหา สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือการใช้ Red Herring มันก็ทำแบบนี้แหละ

Red Herring คืออะไร?

Red Herring ก็คือการชี้นำให้ไปทางอื่น เช่น เราหนีไปทางซ้าย แต่แสร้งทำร่องรอยว่าหนีไปทางขวา เป็นต้น ซึ่งจากเรื่องที่ผมเล่า เด็กผู้ชายเริ่มทำ Red Herring เพื่อชี้นำว่า “เตารีดมันร้อนนะ” ในขณะที่ความจริงคือ “มันไม่ร้อน” พ่อซึ่งเป็นเป้าหมายในการหลอกเห็นท่าทางก็เชื่อแล้วว่ามันร้อน ฉะนั้น พอลูกเอาเตารีดมาวางไว้ที่เป้าก็ตกใจเสียงหลง สร้างความขบขันให้กับลูกที่แกล้งพ่อได้สำเร็จ การหักมุมในตอนท้ายก็คือการ “ทำให้ประหลาดใจ” เพราะเป้าหมายไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นเพียง “ความเข้าใจผิด” ของตนเอง

Red Herring มีประโยชน์อย่างไร?

ประการแรกเลยนะครับ มันจะทำให้เรื่องราวน่าติดตาม ผมเคยแล้วล่ะ เขียนแบบตรงไปตรงมา คาดเดาได้ ไม่ค่อยมีอะไรผิดโผยกเว้นจะมีตัวละครใหม่โผล่ออกมาทำให้เนื้อเรื่องมันเปลี่ยนไปจากที่ผู้อ่านคาดการณ์ การใช้ Red Herring จะกระตุ้นความสงสัยว่ามันใช่ที่เขาคิดไหมนะ เมื่อคาดเดาแล้วก็ต้องติดตามดูว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดไหม นี่เองทำให้นิยายของเราน่าติดตาม

ประการที่ 2 เป็นเรื่องของ “ความซับซ้อน” หากใครเคยอ่านแฮรี่ พอร์ตเตอร์ก็จะเข้าใจว่าสเน็กไม่ชอบแฮรี่ และอาจจะเป็นตัวการทั้งหมดที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพระเอกของเรา คนเขียนทำให้เราเชื่อย่างนั้น เนื้อเรื่องมันทำให้เราเชื่ออย่างนั้น แต่พอสุดท้ายก่อนสเน็กจะตายก็ได้เปิดเผยความจริงออกมา สรุปว่าคนอ่านโดนสับขาหลอกกันหมด

โอเค เรื่องนี้เข้าใจ แล้วมันทำให้เรื่องราวซับซ้อนขึ้นยังไง?

คุณลองนึกถึงถนนนะครับ หากถนนที่มีทางตรง มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อนใช่ไหม แค่ขับไปตามถนน แต่ถ้ามันมีทางแยกไปล่ะ? การสำรวจเส้นทางมันก็มีมากขึ้นเท่าตั้ว การใช้ Red Herring ก็คล้าย ๆ มันจะมีเส้นเรื่องที่เป็นตัวหลอก (ซึ่งเราจะแสดงให้ผู้อ่านเห็น เพื่อให้ผู้อ่านเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น) และเส้นเรื่องที่แท้จริง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่ได้กล่าวถึงทั้งหมด มีเพียงการแสดงออกมาเป็นจุด ๆ เพื่อความสมจริง แต่จะหักมุมในตอนท้ายว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผู้อ่านคิด

ประการที่ 3 เป็น “การพัฒนาของตัวละคร” คือตัวละครมันไม่ได้เลิศเลอมาตั้งแต่แรกหรอก แล้วก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบด้วย ข้อมูลบางอย่างจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจ เมื่อลงมือทำไปแล้วเกิดความเสียหายก็จะรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ Red Herring แต่ตัวละครกลับหลงเชื่อและทำผิดพลาด ตรงนี้จะเป็นบทเรียนให้ตัวละครเติบโตขึ้น

Red Herring ใช้เชื่อมพล็อตย่อยอย่างไร?

การเชื่อมพล็อตย่อยด้วย Red Herring มี 2 แบบครับ

แบบแรกเป็นเรื่องของทางแยกของพล็อตที่เราต้องการชักจูงให้ผู้อ่านเชื่อไปทางหนึ่งซึ่งในอีกเส้นทางหนึ่งคือความจริงที่กำลังดำเนินไปโดยที่เราไม่ได้บอกผู้อ่าน ส่วนแบบที่ 2 คือการที่ตัวละคร 2 ตัวมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน คือมีความเชื่อแตกต่างกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง (เป็นสถานที่น่าจะชัดเจนกว่า) เช่น คนหนึ่งเชื่อว่าในถ้ำมียาวิเศษสามารถรักษาได้ทุกอย่าง อีกคนเชื่อว่ามีปีศาจร้ายถูกปิดผนึกอยู่ภายใน คนหนึ่งก็จะเข้าไปเอายา อีกคนกนึ่งก็พยายามขัดขวาง แต่ท้ายที่สุดแล้วจะมีเพียงคนใดคนหนึ่งที่เข้าใจถูกต้อง

นี่แหละครับการใช้ Red Herring เพื่อเชื่อมโยงพล็อตย่อยเข้าด้วยกัน และถ้าคุณสามารถก็จะจะทำ Red Herring ซ้อน Red Herring เข้าไปได้อีกด้วยนะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *