การผสาน Show Not Tell กับ Ripple Effect

การผสาน Show Not Tell กับ Ripple Effect

เรามาเข้าเรื่องที่เบาสมองกันบ้างดีกว่า นั่นก็คือเรื่องพื้นฐานที่เราต้องรู้กัน Show Not Tell กับ Ripple Effect ซึ่งเรื่องแรกเป็นเรื่องของการเขียน ส่วนอันที่สองนั้นเป็นเรื่องปกติทั่วไปในสากลโลก หรือพูดง่ายๆ ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโลกของเรานี่แหละ และไม่อาจจะเถียงได้ด้วยว่ามันจะไม่เกิดขึ้น

Show Not Tell คืออะไร?

Show Not Tell ก็แปลตรงตัวเลยครับ คือ “แสดง” ไม่ใช่ “บอกเล่า” ปัญหาของนักเขียนมือใหม่จะเล่าเหมือนการสรุปย่อเหตุการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในมุมมองของนักเขียน นั่นก็คือการเล่า แต่การแสดงนั้นจะเขียนเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นมาแล้วให้ “ผู้อ่านตัดสิน” ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คือมันจะประจักษ์ด้วยตัวอักษรที่เราเขียนไป ไม่ใช่ฟังเพียงแค่ลมปากจากมุมมองของนักเขียนเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เย่อเหอโกรธ…อ้าว จบแล้วเหรอ?

นี่คือเราสรุปรวบรัดตัดตอนมาเลยว่าโกรธ ซึ่งไม่รู้ว่าโกรธจริงหรือเปล่า แล้วอาการมันเป็นอย่างไร นิยายเธอเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้อะไรเลย (คนเขียนก็อาจจะยังไม่รู้เหมือนกันถ้าเขียนสด) ฉะนั้น เราต้องแสดงออกมาให้คนเห็น เช่น ตบโต๊ะ ตัวสั่น หน้าแดง กระแทกประตู เดินลงส้น ขว้างข้าวของแตกกระจาย ฯลฯ นี่แหละครับ ตัวละครจะแสดงอารมณ์อะไรออกมา เราต้องเขียนให้เห็นภาพ ให้เห็นถึงการกระทำนั้นๆ ไม่ใช่บอกแค่ประโยคเดียวแล้วจบ

Ripple Effect คืออะไร?

มันคือผลต่อเนื่องที่แผ่ออกไปเป็นวงกว้าง กล่าวคือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งมันมีผลต่อเนื่องตามมา เหมือนหยดน้ำที่เริ่มเพียงหยดเดียว แต่ทำให้เกิดคลื่นมากมายกระจายไปรอบทิศ คลื่นเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่อาศัยกันเกิดขึ้น คือมันไม่ได้โผล่มาเฉยๆ มันอาศัยคลื่นลูกเก่าให้เกิดคลื่นลูกใหม่

มาดูตัวอย่าง

นอนดึก >> ตื่นสาย >> ง่วงทั้งวัน >> เรียนไม่รู้เรื่อง >> ทำข้อสอบไม่ได้ >> โดนพ่อด่า >> น้อยใจหนีออกจากบ้าน

เห็นไหมครับว่ามันต่อเนื่องกันไปเป็นตุเป็นตะ แต่มันเกิดขึ้นได้จริง ถูกต้องไหมครับ อันนี้มันแค่ผลต่อตัวเองนะครับ มันยังมีจุดเชื่อมที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมอีก ล้มกันไปเหมือนโดมิโน

ผสานพลังออกมาเป็นพล็อต

ในวงการนิยาย สิ่งแรกที่มักพูดคุยกันคือ บทหนึ่งต้องเขียนกี่คำ? จำนวนคำดูเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากสำหรับนักเขียน ทำให้มือใหม่จำนวนมากเน้นที่ตัวเลขแต่สิ่งที่เขียนมานั้นไม่ได้จำเป็นต่อเนื้อเรื่องเลย (ไร้สาระที่สุด) ในขณะที่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าคำเพียงไม่กี่คือ หรือคำเพียงหนึ่งประโยคที่เขา “เล่า” มานั้น สามารถแสดงออกมาเป็นเรื่องราวทั้งตอนหรือหลายๆ ตอนได้เลย

มาครับ มาดูตัวอย่างกัน

ตัวอย่างนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในนิยายจีนโบราณเรื่องหนึ่งที่น้องในดิสคอร์ดร้องขอว่าให้เชือด แล้วมีประโยคหนึ่งที่บอกว่าตัวเอกของเรื่องนั้น “วาดรูปเก่ง” เธอเขียนไว้เพียงเท่านี้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร แล้วก็ใส่อะไรที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพล็อตเข้ามามากมายจนน้ำท่วมภูเขา จำนวนคำเยอะมากจนขี้เกียจอ่าน

มันไม่มี Show Not Tell

สิ่งที่ต้องแก้ไขคือเราต้องคิดว่า (ถามตัวเอง) รู้ได้อย่างไรว่าวาดรูปเก่ง? คือไม่ใช่ว่าเราเชื่อว่าตัวเองวาดรูปเก่ง แต่สังคมไม่ยอมรับนะครับ คำว่า “เก่ง” ในที่นี้มันต้องสะท้อนมาจากคนอื่น ไม่ใช่จากตัวละคร ซึ่งผู้เขียนก็ไม่อาจจะสะท้อนคำนี้ออกมาได้เช่นกัน

แล้วทำอย่างไรจึงจะสะท้อนขึ้นมาได้? ก็ต้องให้คนมาเห็นสิ

สมมติว่ามีเพื่อนพ่อมาเยี่ยม เห็นภาพวาดที่แขวนไว้สะดุดตา หลังจากสอบถามก็พบว่าตัวเอกของเรื่องเป็นคนวาด แล้วมันสวยจริงๆ นะ เขาอยากได้ เมื่อของมันดีจริง คนเขาอยากจ่าย ควักถุงเงินก้อนโตมาวางไว้ตรงหน้า ตัวเอกได้เงินไป เพื่อพ่อได้ภาพวาดไป นี่ก็เป็นหนึ่งฉากที่เราได้แสดงถึงคำว่า “วาดรูปเก่ง”

เห็นไหมครับ คำเพียงคำเดียวเราสามารถเขียนมาได้ถึงบทหนึ่งซึ่งไม่ได้หลุดไปจากพล็อตเลย มันยังคงอยู่ในเส้นทาง แต่สะท้อนให้เห็นตัวตนของตัวละครที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แล้วมันไม่จบแค่นี้สิ มันมี Ripple Effect

เวลาคนได้ของดีมาก็อยากจะโชว์ ชายคนนั้นก็จัดงานเลี้ยงชวนเพื่อนแขกเหรื่อมาที่บ้าน ใครเห็นภาพวาดก็ต่างชื่นชม พอรู้ว่าตัวเอกเป็นคนวาดเท่านั้นแหละ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น หน้าบ้านมีแต่แขกเหรื่อมารอของซื้อภาพแบบ pre-order ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วเมืองเพียงชั่วข้ามคืน

เมื่อ Demand มีมากกว่า Supply มันก็ปวดเศียรเวียนเกล้า การจะให้ใครไปสักคนหนึ่งก็จะผิดใจกับอีกหลายๆ คน อย่ากระนั้นเลย ก็เอาภาพวาดที่มีอยู่ไปทำการประมูล และในช่วงนั้นเองมีหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ปลอมตัวมาเที่ยวต่างเมือง เห็นคนเดินเข้าหอประมูลก็สงสัยใคร่รู้ ตามเข้าไปดูว่ามีอะไร และนั้นก็ทำให้…เห็นไหมครับว่า Ripple Effect มันมีผลไปได้เรื่อยๆ จากคำเพียงแค่ไม่กี่คำ เราสามารถเขียนเป็นเรื่องเป็นราวยาวมาหลายตอน แล้วก็อย่าดูถูก มันอาจจะยาวไปถึงครึ่งเล่มก็ได้ ใครจะรู้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *